Papers by Vishruta Lasakula
แนวคำตอบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ร.319 ทฤษฎีการเมืองว่าด้วยเสรีประชาธิปไตย โดยศาสตราจารย์ ... more แนวคำตอบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ร.319 ทฤษฎีการเมืองว่าด้วยเสรีประชาธิปไตย โดยศาสตราจารย์ เกษียร เตชะพีระ

นับตั้งแต่ปรัชญายุครู้แจ้ง (Enlightenment) โดยเริ่มตั้งแต่ อิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) เป็นต... more นับตั้งแต่ปรัชญายุครู้แจ้ง (Enlightenment) โดยเริ่มตั้งแต่ อิมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) เป็นต้นมา การคิดฝันไปถึง ‘โลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้’ ได้รับการหยิบยกขึ้นเป็นประเด็นสำคัญ ที่มนุษย์นั้นต้องพยายามตะโกนหาสรรหาให้ได้ เห็นได้จากงานชิ้นสำคัญของคานท์ ที่ชื่อว่า Universal History ที่หลักอย่างง่ายของมันกล่าวถึง “ความที่มองโลกในแง่ดีว่ามนุษย์จะก้าวหน้าไปด้วยเหตุผล” แน่นอน คานท์ได้สร้างสิ่งดังกล่าวเป็น ‘กฎสากล (Universal Law)’ ที่สามารถตัดข้ามสถานที่และเวลา (Space and Time) หรือที่เรียกว่าเป็น ‘อุตรวิสัย (Transcendence)’ กล่าวคือ เป็นสิ่งที่มนุษย์นั้น ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตาม จำเป็นที่จะต้องมุ่งไปให้ถึง แม้ทิศทางในการมุ่งไปของแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกันในระดับมูลฐาน ดังว่าสิ่งที่กำลังมุ่งไปเป็น ‘แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์’ ก็มิปาน ซึ่งสิ่งที่คานท์คิดเห็นเป็นควรให้มุ่งไป นั่นคือ ‘ความเป็นพลเมืองโลกนิยม (Cosmopolitanism)’ นั่นเอง ซึ่งรอยทางดังกล่าว เป็นรากฐานที่สำคัญในการตะโกนหาสรรหาโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ของ เฮเกล (Hegel) และมาร์กซ์ (Marx) ตามมาเป็นระยะ
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดของทั้งเฮเกล (Hegel) และมาร์กซ์ (Marx) ยังมิใช่คำตอบสำหรับโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ เนื่องจากในชั่วระยะเวลาที่คิดเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวคิดที่เป็นรอยทางของมาร์กซ นั่นคือ ‘คอมมิวนิสต์ (Communism)’ ที่เกิดสรรพปัญหาจากการประยุกต์และปรับแปรตัวมันเอง หรือก็คือ คอมมิวนิสต์ได้หลุดลอยตนเอง (Free-floating) ของรูปสัญญะ (Signifier) ไปสู่ความหมายสัญญะ (Signified) ที่เฉพาะถิ่นที่และเป้าประสงค์ อาทิ แปรไปเป็น เลนินนิสต์ (Leninism) สตาลินิสต์ (Stalinism) หรือเหมาอิสต์ (Maoism) ที่มีนัยของความเป็น ‘เผด็จการ (Dictatorship)’ มากกว่าที่จะเป็น ‘รัฐขั้นสูง (Maximum State)’ ตามแนวทางของคอมมิวนิสต์เดิม และกลับกลายเป็นสัญญะที่ล่มสลายท้ายคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ทำให้ภายหลังนั้น แนวคิดที่ว่าด้วย ‘เสรีนิยมประชาธิปไตย (Liberal Democracy)’ อันเป็นพลวัตสืบมาขนานกัน ได้เข้ามามีบทบาทเสมือนว่ามนุษยชาติ ‘ไม่มีทางเลือกอื่นใด (There is no alternative)’ นอกเหลือกไปจากแนวคิดนี้ ขนาดที่ ฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis Fukuyama) เสนอว่ามนุษยชาติได้มาถึง “อวสานแห่งประวัติศาสตร์ (The End of History)” เพราะคำตอบสุดท้ายของระบอบการปกครองนั่นคือเสรีประชาธิปไตยและเศรษฐกิจใช้ระบบทุนนิยมตลาดเสรี (Capitalism) กระนั้น ในกาลต่อมา แนวคิดเสรีประชาธิปไตย ก็มิอาจหลีกหนีประเด็นคำถามที่คอมมิวนิสต์เคยได้รับข้างต้นไปได้เช่นกัน ซึ่งปัญหาที่ว่านั่นก็คือ การแยกทางกันของเสรีนิยมและประชาธิปไตย กล่าวคือ เสรีนิยมไปทาง ประชาธิปไตยไปทาง อันทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาดังเช่น ‘กลุ่มพรรคขวาจัด (Far-right wing party)’ หรือ ‘ประชานิยม (Populism)’ เมื่อเป็นเช่นที่กล่าว คำถามที่ตามมา อันจะทำให้เกิดความหวั่นไหวก่อตัวในใจผู้คน นั่นคือ ‘แล้วสิ่งใดเป็นทางออกหากไม่สมาทานทั้งเสรีประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์?’ หรือ ‘โลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ ฤาแท้จริงนั้นไม่มี?’
ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่การตะโกนหาสรรหาโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ในลักษณะของการ ‘หวนกลับไปพิจารณา (Revision)’ ถึงแนวคิดทั้งสองประการดังกล่าว เพื่อกระทำการตะโกนหาสรรหา ‘สิ่งใหม่’ ในการคิดทบทวนไปถึงสิ่งซึ่งมี ‘สภาวะการเป็นแต่ไม่ปรากฏ (Being, but non-existed)’ ในตัวของแนวคิดทั้งสองเอง รวมถึงการ ‘คิดใหม่’ แต่ฐานคติ/ตรรกะสัมพันธ์ ของแนวคิดทั้งสองด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการ ‘ตระหนักใหม่’ ว่าชุดความคิดที่รับรู้/เข้าใจ ดังที่เคยเป็นมานั้น แท้จริงแล้ว อาจยังไม่ได้ ‘คิดกับมัน’ มากพอ โดยความพยายามดังกล่าวในแต่ละแนวคิด ต่างมีสายธารแห่งความพยายามที่เป็นพลวัติมาเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด ขนาดว่าเป็น ‘ความโดดเด่น’ นั้นปรากฏในผู้เจริญซึ่งมากไปด้วยปัญญาทั้งสอง ณ ที่นี้ นั่นคือ ช็องตาล มูฟฟ์ (Chantal Mouffe) ในส่วนของเสรีประชาธิปไตย และ สลาวอย ชิเช็ค (Slavoj Žižek)ในส่วนของคอมมิวนิสต์ แน่นอน ความโดนเด่นที่ว่า หลีกเลี่ยงไปไม่ได้เลยในส่วนของ ‘Hegemony’ เป็นสำคัญ เนื่องด้วยทั้งสองอธิบาย Hegemony ในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป แต่เป็นไปเพื่อทำการหา ‘พื้นที่’ ของสิ่งที่เรียกว่า ‘การเมือง (Political)’ เพื่อต่อยอดไปถึงการพิจารณา ‘สิ่งใหม่’ ด้วยกันทั้งนั้น โดย Hegemony ที่แตกต่างกันดังกล่าว แน่ละว่า จะทำให้เกิดการรับรู้/เข้าใจ ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งเสรีประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ ในแง่ของการ ‘หาความ’ จากสิ่งซึ่งครั้งหนึ่งเสมือนว่า ‘ได้รับการสิ้นศรัทธาไป’ จากการเป็นโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้เสียฉิบ
โดยบทความชิ้นนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ส่วนแรก เป็นการสำรวจความคิดเรื่อง Hegemony ของมูฟฟ์และชิเช็ค ส่วนที่สอง เป็นการแสดงให้เห็นถึงจุดที่สามารถคิดไปถึงการเกิดวิวาทะระหว่างมูฟฟ์และชิเชค ในประเด็น Hegemony และส่วนสุดท้าย เป็นการรวบยอดประเด็นของมูฟฟ์และชิเช็ค เพื่อพิจารณาถึงคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า โลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้เกิดขึ้นผ่าน Hegemony หรือไม่?
กาารปริทัศน์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา PO312: POLITICS AND PUBLIC LAW
การตั้งประเด็นคำถาม-คำตอบนี้ เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชา KS335: การเมืองและเศรษฐกิจเกาหลี
รายงานค้นคว้าอิสระชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ร. 332: สถาบันการเมืองและรัฐธรรมนูญ
แนวคำตอบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ร. 210: ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น โดยศาสตราจารย์ เกษียร เตช... more แนวคำตอบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ร. 210: ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น โดยศาสตราจารย์ เกษียร เตชะพีระ
บทปริทัศน์นี้เป็นส่วนหนึ่งในรายวิชา ร. 319 ทฤษฎีว่าด้วยเสรีนิยมกับประชาธิปไตย
งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ป.435 (HS435): หัวข้อเฉพาะในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ป.435 (HS435): หัวข้อเฉพาะในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ป. 465 (HS465): ประวัติศาสตร์สเปนร่วมสมัย
งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ป.435 (HS435): หัวข้อเฉพาะในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ป.465 (HS465) : ประวัติศาสตร์สเปนร่วมสมัย
งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในการตั้งประเด็นถาม-ตอบคำถาม รายวิชา ป.256 (HS256) ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในการตั้งประเด็นถาม-ตอบคำถาม รายวิชา ป.356 (HS356) ประวัติศาสตร์ญี่ปุ... more งานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในการตั้งประเด็นถาม-ตอบคำถาม รายวิชา ป.356 (HS356) ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นร่วมสมัย
Talks by Vishruta Lasakula
This is the English transcript from a documentary of rising star of German philosopher, Byung Chu... more This is the English transcript from a documentary of rising star of German philosopher, Byung Chul Han, Müdigkeitsgesellschaft: Byung-Chul Han in Seoul/Berlin
Uploads
Papers by Vishruta Lasakula
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดของทั้งเฮเกล (Hegel) และมาร์กซ์ (Marx) ยังมิใช่คำตอบสำหรับโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ เนื่องจากในชั่วระยะเวลาที่คิดเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวคิดที่เป็นรอยทางของมาร์กซ นั่นคือ ‘คอมมิวนิสต์ (Communism)’ ที่เกิดสรรพปัญหาจากการประยุกต์และปรับแปรตัวมันเอง หรือก็คือ คอมมิวนิสต์ได้หลุดลอยตนเอง (Free-floating) ของรูปสัญญะ (Signifier) ไปสู่ความหมายสัญญะ (Signified) ที่เฉพาะถิ่นที่และเป้าประสงค์ อาทิ แปรไปเป็น เลนินนิสต์ (Leninism) สตาลินิสต์ (Stalinism) หรือเหมาอิสต์ (Maoism) ที่มีนัยของความเป็น ‘เผด็จการ (Dictatorship)’ มากกว่าที่จะเป็น ‘รัฐขั้นสูง (Maximum State)’ ตามแนวทางของคอมมิวนิสต์เดิม และกลับกลายเป็นสัญญะที่ล่มสลายท้ายคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ทำให้ภายหลังนั้น แนวคิดที่ว่าด้วย ‘เสรีนิยมประชาธิปไตย (Liberal Democracy)’ อันเป็นพลวัตสืบมาขนานกัน ได้เข้ามามีบทบาทเสมือนว่ามนุษยชาติ ‘ไม่มีทางเลือกอื่นใด (There is no alternative)’ นอกเหลือกไปจากแนวคิดนี้ ขนาดที่ ฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis Fukuyama) เสนอว่ามนุษยชาติได้มาถึง “อวสานแห่งประวัติศาสตร์ (The End of History)” เพราะคำตอบสุดท้ายของระบอบการปกครองนั่นคือเสรีประชาธิปไตยและเศรษฐกิจใช้ระบบทุนนิยมตลาดเสรี (Capitalism) กระนั้น ในกาลต่อมา แนวคิดเสรีประชาธิปไตย ก็มิอาจหลีกหนีประเด็นคำถามที่คอมมิวนิสต์เคยได้รับข้างต้นไปได้เช่นกัน ซึ่งปัญหาที่ว่านั่นก็คือ การแยกทางกันของเสรีนิยมและประชาธิปไตย กล่าวคือ เสรีนิยมไปทาง ประชาธิปไตยไปทาง อันทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาดังเช่น ‘กลุ่มพรรคขวาจัด (Far-right wing party)’ หรือ ‘ประชานิยม (Populism)’ เมื่อเป็นเช่นที่กล่าว คำถามที่ตามมา อันจะทำให้เกิดความหวั่นไหวก่อตัวในใจผู้คน นั่นคือ ‘แล้วสิ่งใดเป็นทางออกหากไม่สมาทานทั้งเสรีประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์?’ หรือ ‘โลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ ฤาแท้จริงนั้นไม่มี?’
ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่การตะโกนหาสรรหาโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ในลักษณะของการ ‘หวนกลับไปพิจารณา (Revision)’ ถึงแนวคิดทั้งสองประการดังกล่าว เพื่อกระทำการตะโกนหาสรรหา ‘สิ่งใหม่’ ในการคิดทบทวนไปถึงสิ่งซึ่งมี ‘สภาวะการเป็นแต่ไม่ปรากฏ (Being, but non-existed)’ ในตัวของแนวคิดทั้งสองเอง รวมถึงการ ‘คิดใหม่’ แต่ฐานคติ/ตรรกะสัมพันธ์ ของแนวคิดทั้งสองด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการ ‘ตระหนักใหม่’ ว่าชุดความคิดที่รับรู้/เข้าใจ ดังที่เคยเป็นมานั้น แท้จริงแล้ว อาจยังไม่ได้ ‘คิดกับมัน’ มากพอ โดยความพยายามดังกล่าวในแต่ละแนวคิด ต่างมีสายธารแห่งความพยายามที่เป็นพลวัติมาเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด ขนาดว่าเป็น ‘ความโดดเด่น’ นั้นปรากฏในผู้เจริญซึ่งมากไปด้วยปัญญาทั้งสอง ณ ที่นี้ นั่นคือ ช็องตาล มูฟฟ์ (Chantal Mouffe) ในส่วนของเสรีประชาธิปไตย และ สลาวอย ชิเช็ค (Slavoj Žižek)ในส่วนของคอมมิวนิสต์ แน่นอน ความโดนเด่นที่ว่า หลีกเลี่ยงไปไม่ได้เลยในส่วนของ ‘Hegemony’ เป็นสำคัญ เนื่องด้วยทั้งสองอธิบาย Hegemony ในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป แต่เป็นไปเพื่อทำการหา ‘พื้นที่’ ของสิ่งที่เรียกว่า ‘การเมือง (Political)’ เพื่อต่อยอดไปถึงการพิจารณา ‘สิ่งใหม่’ ด้วยกันทั้งนั้น โดย Hegemony ที่แตกต่างกันดังกล่าว แน่ละว่า จะทำให้เกิดการรับรู้/เข้าใจ ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งเสรีประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ ในแง่ของการ ‘หาความ’ จากสิ่งซึ่งครั้งหนึ่งเสมือนว่า ‘ได้รับการสิ้นศรัทธาไป’ จากการเป็นโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้เสียฉิบ
โดยบทความชิ้นนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ส่วนแรก เป็นการสำรวจความคิดเรื่อง Hegemony ของมูฟฟ์และชิเช็ค ส่วนที่สอง เป็นการแสดงให้เห็นถึงจุดที่สามารถคิดไปถึงการเกิดวิวาทะระหว่างมูฟฟ์และชิเชค ในประเด็น Hegemony และส่วนสุดท้าย เป็นการรวบยอดประเด็นของมูฟฟ์และชิเช็ค เพื่อพิจารณาถึงคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า โลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้เกิดขึ้นผ่าน Hegemony หรือไม่?
Talks by Vishruta Lasakula
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดของทั้งเฮเกล (Hegel) และมาร์กซ์ (Marx) ยังมิใช่คำตอบสำหรับโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ เนื่องจากในชั่วระยะเวลาที่คิดเห็นว่ามันเป็นเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวคิดที่เป็นรอยทางของมาร์กซ นั่นคือ ‘คอมมิวนิสต์ (Communism)’ ที่เกิดสรรพปัญหาจากการประยุกต์และปรับแปรตัวมันเอง หรือก็คือ คอมมิวนิสต์ได้หลุดลอยตนเอง (Free-floating) ของรูปสัญญะ (Signifier) ไปสู่ความหมายสัญญะ (Signified) ที่เฉพาะถิ่นที่และเป้าประสงค์ อาทิ แปรไปเป็น เลนินนิสต์ (Leninism) สตาลินิสต์ (Stalinism) หรือเหมาอิสต์ (Maoism) ที่มีนัยของความเป็น ‘เผด็จการ (Dictatorship)’ มากกว่าที่จะเป็น ‘รัฐขั้นสูง (Maximum State)’ ตามแนวทางของคอมมิวนิสต์เดิม และกลับกลายเป็นสัญญะที่ล่มสลายท้ายคริสต์ทศวรรษที่ 1990 ทำให้ภายหลังนั้น แนวคิดที่ว่าด้วย ‘เสรีนิยมประชาธิปไตย (Liberal Democracy)’ อันเป็นพลวัตสืบมาขนานกัน ได้เข้ามามีบทบาทเสมือนว่ามนุษยชาติ ‘ไม่มีทางเลือกอื่นใด (There is no alternative)’ นอกเหลือกไปจากแนวคิดนี้ ขนาดที่ ฟรานซิส ฟูกูยามา (Francis Fukuyama) เสนอว่ามนุษยชาติได้มาถึง “อวสานแห่งประวัติศาสตร์ (The End of History)” เพราะคำตอบสุดท้ายของระบอบการปกครองนั่นคือเสรีประชาธิปไตยและเศรษฐกิจใช้ระบบทุนนิยมตลาดเสรี (Capitalism) กระนั้น ในกาลต่อมา แนวคิดเสรีประชาธิปไตย ก็มิอาจหลีกหนีประเด็นคำถามที่คอมมิวนิสต์เคยได้รับข้างต้นไปได้เช่นกัน ซึ่งปัญหาที่ว่านั่นก็คือ การแยกทางกันของเสรีนิยมและประชาธิปไตย กล่าวคือ เสรีนิยมไปทาง ประชาธิปไตยไปทาง อันทำให้เกิดปัญหาที่ตามมาดังเช่น ‘กลุ่มพรรคขวาจัด (Far-right wing party)’ หรือ ‘ประชานิยม (Populism)’ เมื่อเป็นเช่นที่กล่าว คำถามที่ตามมา อันจะทำให้เกิดความหวั่นไหวก่อตัวในใจผู้คน นั่นคือ ‘แล้วสิ่งใดเป็นทางออกหากไม่สมาทานทั้งเสรีประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์?’ หรือ ‘โลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ ฤาแท้จริงนั้นไม่มี?’
ด้วยเหตุนี้ จึงนำมาสู่การตะโกนหาสรรหาโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้ในลักษณะของการ ‘หวนกลับไปพิจารณา (Revision)’ ถึงแนวคิดทั้งสองประการดังกล่าว เพื่อกระทำการตะโกนหาสรรหา ‘สิ่งใหม่’ ในการคิดทบทวนไปถึงสิ่งซึ่งมี ‘สภาวะการเป็นแต่ไม่ปรากฏ (Being, but non-existed)’ ในตัวของแนวคิดทั้งสองเอง รวมถึงการ ‘คิดใหม่’ แต่ฐานคติ/ตรรกะสัมพันธ์ ของแนวคิดทั้งสองด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการ ‘ตระหนักใหม่’ ว่าชุดความคิดที่รับรู้/เข้าใจ ดังที่เคยเป็นมานั้น แท้จริงแล้ว อาจยังไม่ได้ ‘คิดกับมัน’ มากพอ โดยความพยายามดังกล่าวในแต่ละแนวคิด ต่างมีสายธารแห่งความพยายามที่เป็นพลวัติมาเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด ขนาดว่าเป็น ‘ความโดดเด่น’ นั้นปรากฏในผู้เจริญซึ่งมากไปด้วยปัญญาทั้งสอง ณ ที่นี้ นั่นคือ ช็องตาล มูฟฟ์ (Chantal Mouffe) ในส่วนของเสรีประชาธิปไตย และ สลาวอย ชิเช็ค (Slavoj Žižek)ในส่วนของคอมมิวนิสต์ แน่นอน ความโดนเด่นที่ว่า หลีกเลี่ยงไปไม่ได้เลยในส่วนของ ‘Hegemony’ เป็นสำคัญ เนื่องด้วยทั้งสองอธิบาย Hegemony ในมุมมองที่แตกต่างกันออกไป แต่เป็นไปเพื่อทำการหา ‘พื้นที่’ ของสิ่งที่เรียกว่า ‘การเมือง (Political)’ เพื่อต่อยอดไปถึงการพิจารณา ‘สิ่งใหม่’ ด้วยกันทั้งนั้น โดย Hegemony ที่แตกต่างกันดังกล่าว แน่ละว่า จะทำให้เกิดการรับรู้/เข้าใจ ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งเสรีประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์ ในแง่ของการ ‘หาความ’ จากสิ่งซึ่งครั้งหนึ่งเสมือนว่า ‘ได้รับการสิ้นศรัทธาไป’ จากการเป็นโลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้เสียฉิบ
โดยบทความชิ้นนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ส่วนแรก เป็นการสำรวจความคิดเรื่อง Hegemony ของมูฟฟ์และชิเช็ค ส่วนที่สอง เป็นการแสดงให้เห็นถึงจุดที่สามารถคิดไปถึงการเกิดวิวาทะระหว่างมูฟฟ์และชิเชค ในประเด็น Hegemony และส่วนสุดท้าย เป็นการรวบยอดประเด็นของมูฟฟ์และชิเช็ค เพื่อพิจารณาถึงคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า โลกประเสริฐสุดที่เป็นไปได้เกิดขึ้นผ่าน Hegemony หรือไม่?